เสนา ชูกลยุทธ์ JV พาร์ทเนอร์ขับเคลื่อนธุรกิจ Asset โตสูงกว่า 50,000 ล้าน
เสนา ชูกลยุทธ์ JV พาร์ทเนอร์ขับเคลื่อนธุรกิจ Asset โตสูงกว่า 50,000 ล้าน
เสนา ชูกลยุทธ์ JV พาร์ทเนอร์ขับเคลื่อนธุรกิจ Asset โตสูงกว่า 50,000 ล้าน
พร้อมบริหารพอร์ท เพิ่มประสิทธิภาพการสร้างรายได้ที่สูงขึ้น แต่คงอัตราหนี้ที่ต่ำ
เสนา ตอกย้ำแนวทางการดำเนินธุรกิจที่ยั่งยืน ด้วยกลยุทธ์ขยายความร่วมมือกับพันธมิตรที่แข็งแกร่ง พร้อมบริหารพอร์ทโฟลิโอเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานและสร้างรายได้อย่างต่อเนื่อง เผยขนาด Asset รวมโตก้าวกระโดดสูงกว่า 50,000 ล้าน หรือราว 43% ขณะที่ตัวเลข Net IBD/E สวนทางต่ำลงที่ 1.13 เท่านั้น สะท้อนภาพพื้นฐานทางการเงินที่แข็งแกร่ง พร้อมปรับโครงสร้างสัดส่วนรายได้จากโครงการที่พักอาศัย และธุรกิจบริการเป็น 80/20 และรายได้จากการดำเนินงานสามารถเปลี่ยนเป็นกระแสเงินสดในการดำเนินงานได้ 100% พร้อมมีสินค้าใน Portfolio อีก 82,000 ล้าน
ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ (ดร.ยุ้ย) กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SENA เผยว่า ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาในวงการธุรกิจ บริษัท ห้างร้าน และส่วนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ทุกคนประสบปัญหาหรือบางบริษัทต้องเผชิญกับความท้าทาย หรือจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของบริษัท โดยเฉพาะผลกระทบจากภาวะระบาดของ COVID-19 ขณะเดียวกันยุคนี้ยังเป็นยุคของการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยี การแข่งขัน สภาพแวดล้อมทางธุรกิจ เศรษฐกิจ สังคม ซึ่งสถานการณ์เหล่านี้รู้จักกันในนาม VUCA World ที่ทำให้องค์กร หรือผู้ประกอบการต่างๆ ต้องปรับตัวตามกันให้ทัน และที่สำคัญก็คือต้องไปในทิศทางที่เหมาะสม
“เสนาฯ ตระหนักถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเช่นกัน โดยตั้งแต่ที่ระบบเศรษฐกิจได้รับผลกระทบจาก COVID-19 เราก็ได้มีการเริ่มปรับตัว หรือจะเรียกว่าเป็นอีกหนึ่งจุดเปลี่ยนสำคัญคือการปรับกลยุทธ์ของธุรกิจเพิ่มเติม โดยให้ความสำคัญในเรื่อง Partnership, การบริหารการเงิน และการบริหารจัดการพอร์ทโฟลิโออย่างมีประสิทธิภาพ จะเห็นได้ว่าเรามีการเข้าซื้อ บริษัท เจ.เอส.พี พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด(มหาชน) (JSP) เพื่อขยายตลาดแนวราบเพิ่มเติม รวมถึงความร่วมมือกับ บริษัท ฮันคิว ฮันชิน พร็อพเพอร์ตี้ส์ คอร์ป (HHP) ในการร่วมลงทุนในโครงการใหม่ๆ ในช่วงที่ผ่านมา ซี่งทำให้ปัจจุบันเรามีมูลค่า Asset สูงถึงกว่า 50,000 ล้าน หรือโตขึ้นถึง 43% โดยกลยุทธ์นี้เป็นการมองในระยะยาว เพื่อกระจายความเสี่ยง และลดการลงทุน ขณะเดียวกันอัตราหนี้สินต่อทุนของเราหรือ Net IBD/E Ratio ก็ต่ำลง ล่าสุดอยู่ที่ 1.13 เท่า ซึ่งสะท้อนถึงการเติบโตของธุรกิจบนพื้นฐานทางการเงินที่ดี” ดร. ยุ้ย กล่าว
ดร. ยุ้ย กล่าวด้วยว่า อีกส่วนสำคัญคือการบริหารพอร์ทโฟลิโอให้เหมาะสม โดยได้มีการขยายโครงการแนวราบเพิ่มขึ้น เพิ่มความหลากหลายของสินค้าให้ครอบคลุมทุก Segment สอดคล้องกับสภาวะตลาด และตอบโจทย์ผู้บริโภคทั้งในแง่ ทำเล ราคา ไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไป และเทรนด์ที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด ซึ่งปัจจุบันทางเสนามีมูลค่าสินค้าพร้อมพัฒนาและรอรับรู้รายได้สูงกว่า 82,000 ล้านบาท แบ่งการบริหารจัดการสินค้าใน port นี้ โดยพัฒนาในรูปแบบร่วมทุน 72%, ผ่าน บริษัท เซ็น เอกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ Sen X ที่ 13% และโครงการที่พัฒนาโดยเสนาเองอีก 15% นอกจากนั้นยังมีรายได้จากกลุ่มธุรกิจบริการอื่นซึ่งเป็นรายได้ประจำที่ช่วยสร้างกระแสเงินสดอย่างต่อเนื่องด้วย
“ขณะที่สัดส่วนรายได้นั้นได้ถูกบริหารจัดการให้เหมาะสม มีการกระจายรายได้ผ่านรูปแบบธุรกิจใน 2 ส่วนหลัก คือ รายได้จากโครงการที่พักอาศัย และรายได้จากธุรกิจบริการและธุรกิจเช่า ซึ่งเป็นรายได้ที่สม่ำเสมอที่สัดส่วน 80/20 ในปัจจุบัน ควบคู่กับการบริหารความเสี่ยงด้านการเงินให้เหมาะสมกับสถานการณ์อย่างเฝ้าระวัง ซึ่งจะสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และสมดุลในระยะยาว”
ดร.ยุ้ย กล่าวทิ้งท้ายว่า รายได้จากการดำเนินการของบริษัท เริ่มมีโครงสร้างที่เปลี่ยนแปลงโดยเฉพาะการเพิ่มขี้นของรายได้จากการบริการสัดส่วน 20% และรายได้ทั้ง 100% เป็นเกณฑ์เงินสด ไม่ใช่แค่สัดส่วน 20% เงินสด สอดคล้องกับ Long Term Planning ของบริษัท ที่สำคัญไม่ได้ลดทอนความสามารถในการทำกำไรของบริษัทลงเลย การเติบโตในรูปแบบ JV ตามกลยุทธ์หลักขององค์กรนั้น นอกจากจะส่งผลให้เกิดการใช้เม็ดเงินลงทุนที่เหมาะสมแล้ว ยังได้มาซึ่ง Know-How และความเข้มแข็ง ลดความเสี่ยง และ สามารถเติบโตอย่างต่อเนื่องและสัดส่วนกำไรเป็นไปตามสัดส่วนผู้ถือหุ้นด้วย
ทั้งนี้ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SENA อยู่ระหว่างเตรียมเสนอขายหุ้นกู้ชุดใหม่ โดยเป็นหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ ให้แก่ผู้ลงทุนทั่วไปและผู้ลงทุนสถาบัน อายุหุ้นกู้ 2 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 5% ต่อปี ชำระดอกเบี้ยทุก 3 เดือน ตลอดอายุหุ้นกู้ สำหรับอันดับความน่าเชื่อถือของบริษัทและหุ้นกู้อยู่ที่ระดับ “BBB” แนวโน้ม “ลบ” จากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด โดยคาดว่าจะเปิดให้จองซื้อระหว่างวันที่ 26-30 มกราคม 2567 นี้ ผ่านธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์เอเซีย พลัส จำกัด และบริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด โดยจองซื้อขั้นต่ำ 100,000 บาท และทวีคูณครั้งละ 100,000 บาท