อัปเดต! แนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี 2025/2026 ซื้อ ขาย หรือรอดู?

การตัดสินใจในตลาดอสังหาริมทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็นการ ซื้อ ขาย บ้านและคอนโด ถือเป็นการลงทุนครั้งสำคัญที่ต้องอาศัยความเข้าใจในสภาวะตลาดและปัจจัยรอบด้านอย่างลึกซึ้ง ในช่วงเปลี่ยนผ่านของทศวรรษใหม่นี้ ภูมิทัศน์ของตลาดอสังหาริมทรัพย์กำลังเผชิญกับทั้งโอกาสและความท้าทายจากหลากหลายมิติ บทความนี้จะพาคุณเจาะลึกถึงแนวโน้มสำคัญในปี 2025/2026 พร้อมวิเคราะห์ปัจจัยที่มีอิทธิพล ไม่ว่าจะเป็นอัตราดอกเบี้ยที่อาจส่งผลต่อยอดผ่อนชำระเพิ่มขึ้นหลักร้อยถึงหลักพันบาทต่อเดือนต่องบประมาณ 1 ล้านบาท หรือต้นทุนวัสดุก่อสร้างที่อาจปรับตัวสูงขึ้น 5-10% ซึ่งล้วนมีผลต่อการตัดสินใจ และให้คำแนะนำที่เฉียบคม เพื่อให้คุณสามารถวางกลยุทธ์ได้อย่างมั่นใจและสร้างผลตอบแทนสูงสุดจากการลงทุน ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้ซื้อที่มองหาบ้านในฝัน ผู้ขายที่ต้องการราคาที่ดีที่สุด หรือนักลงทุนที่แสวงหาโอกาสเติบโต
ภาพรวมสถานการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบันและอนาคตอันใกล้
-
การฟื้นตัวที่ไม่เท่าเทียมกัน: ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในแต่ละทำเลและแต่ละประเภททรัพย์สินมีการฟื้นตัวที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน คอนโดมิเนียมใจกลางเมืองที่เคยได้รับผลกระทบ อาจเริ่มเห็นสัญญาณบวกจากกำลังซื้อต่างชาติที่อาจมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นแตะระดับ 15-20% ของยอดขายรวมในบางโครงการระดับลักซ์ชัวรี่ และการกลับมาทำงานในออฟฟิศ ในขณะที่บ้านแนวราบในทำเลรอบนอกยังคงได้รับความนิยมสูงต่อเนื่องจากเทรนด์การมองหาพื้นที่ส่วนตัวและพื้นที่ใช้สอยที่มากขึ้น ซึ่งอาจเห็นการเติบโตของราคาเฉลี่ย 5-7% ต่อปีในทำเลศักยภาพ -
อุปทานคงค้างและอุปทานใหม่: แม้ว่าจะมีอุปทานคงค้างในบางเซกเมนต์ ซึ่งอาจมีจำนวนรวมหลายหมื่นยูนิตทั่วประเทศ แต่ผู้ประกอบการรายใหญ่เริ่มกลับมาเปิดตัวโครงการใหม่ๆ โดยเน้นโครงการที่ตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะกลุ่มมากขึ้น เช่น โครงการที่เน้นสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี (Wellness Living) ที่อาจจัดสรรงบลงทุนกว่า 30-40% ของพอร์ตโครงการใหม่ หรือโครงการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green Development) การพิจารณา ซื้อ ขาย บ้านและคอนโด ในโครงการใหม่จึงต้องดูถึงความแตกต่างและนวัตกรรมที่นำเสนอ -
ราคาที่มีแนวโน้มปรับตัว: ราคาอสังหาริมทรัพย์โดยรวมมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป ตามต้นทุนการก่อสร้างที่เพิ่มขึ้นซึ่งอาจสูงขึ้นเฉลี่ย 3-5% ต่อปี และภาวะเงินเฟ้อ อย่างไรก็ตาม ในบางทำเลหรือบางประเภททรัพย์สินที่ยังมีอุปทานสูง อาจยังคงมีการแข่งขันด้านราคาอยู่บ้าง ผู้ซื้อจึงยังมีโอกาสในการเจรจาต่อรอง ซึ่งอาจได้ส่วนลด 5-15% จากราคาตั้งต้นในบางกรณี -
บทบาทของตลาดมือสอง: ตลาดบ้านและคอนโดมือสองยังคงมีบทบาทสำคัญ โดยเฉพาะในทำเลศักยภาพที่หาโครงการใหม่ได้ยาก หรือสำหรับผู้ซื้อที่ต้องการเข้าอยู่ได้ทันทีและมีงบประมาณจำกัด ปริมาณธุรกรรมในตลาดมือสองอาจคิดเป็นสัดส่วนถึง 25-35% ของตลาดรวมในบางช่วงเวลา การ ซื้อ ขาย บ้านและคอนโด มือสองยังคงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ -
ความต้องการจากต่างชาติ: การเปิดประเทศและการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวเริ่มส่งผลบวกต่อกำลังซื้อจากต่างชาติ โดยเฉพาะในกลุ่มคอนโดมิเนียมระดับลักซ์ชัวรี่และบ้านพักตากอากาศ ซึ่งอาจเห็นการสอบถามข้อมูลจากลูกค้าต่างชาติเพิ่มขึ้น 10-20% เมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้า ซึ่งเป็นปัจจัยหนุนสำคัญของตลาด
ปัจจัยสำคัญที่จะขับเคลื่อนและท้าทายตลาด "ซื้อ ขาย บ้านและคอนโด"
ปัจจัยทางเศรษฐกิจมหภาค (Macroeconomic Factors)
-
อัตราดอกเบี้ย: ทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายมีผลต่อต้นทุนสินเชื่อที่อยู่อาศัย หากดอกเบี้ยมีแนวโน้มปรับขึ้น เช่น การปรับขึ้นทุกๆ 0.25% อาจส่งผลให้ภาระการผ่อนชำระรายเดือนเพิ่มขึ้นประมาณ 300-500 บาท ต่อยอดหนี้ทุกๆ 1 ล้านบาท ซึ่งอาจทำให้ผู้ซื้อชะลอการตัดสินใจ หรือมองหาทรัพย์สินในระดับราคาที่เข้าถึงง่ายขึ้น ขณะที่หากดอกเบี้ยทรงตัวหรือลดลง จะเป็นปัจจัยบวกต่อการตัดสินใจซื้อ -
อัตราเงินเฟ้อและต้นทุนการก่อสร้าง: ภาวะเงินเฟ้อที่ส่งผลให้ราคาวัสดุก่อสร้างหลัก เช่น เหล็กและซีเมนต์ อาจปรับตัวสูงขึ้นเฉลี่ย 5-10% ในรอบปีที่ผ่านมา และค่าแรงปรับตัวสูงขึ้น ทำให้ต้นทุนการพัฒนาโครงการใหม่เพิ่มขึ้น ซึ่งอาจส่งผลให้ราคาขายอสังหาริมทรัพย์ใหม่ปรับสูงขึ้นตามไปด้วย นี่เป็นปัจจัยที่ผู้สนใจ ซื้อ ขาย บ้านและคอนโด ต้องนำมาพิจารณา -
นโยบายภาครัฐ: มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและภาคอสังหาริมทรัพย์ เช่น การลดหย่อนค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนองจากปกติ 2% และ 1% ตามลำดับ เหลืออย่างละ 0.01% หรือมาตรการส่งเสริมการมีที่อยู่อาศัยสำหรับกลุ่มเฉพาะ สามารถสร้างแรงจูงใจและกระตุ้นตลาดได้ในระยะสั้นถึงกลาง -
การเติบโตของ GDP และความเชื่อมั่นผู้บริโภค: เมื่อเศรษฐกิจโดยรวมเติบโตดี ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคอาจปรับตัวสูงขึ้นเกินระดับ 50 จุด ซึ่งบ่งชี้ถึงมุมมองเชิงบวก ประชาชนมีรายได้เพิ่มขึ้นและความเชื่อมั่นสูงขึ้น ย่อมส่งผลให้มีความต้องการซื้ออสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้น ทั้งเพื่ออยู่อาศัยเองและเพื่อการลงทุน
พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป (Evolving Consumer Behavior)
-
Work From Home / Hybrid Work: ความยืดหยุ่นในการทำงานทำให้ความต้องการพื้นที่ใช้สอยภายในบ้านเพิ่มขึ้น ผู้ซื้อยุคใหม่จำนวนไม่น้อยมองหาบ้านหรือคอนโดมิเนียมที่มีพื้นที่ใช้สอยเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 10-15% เมื่อเทียบกับความต้องการในอดีต มุมทำงานส่วนตัว หรือห้องอเนกประสงค์กลายเป็นสิ่งจำเป็น บ้านแนวราบ ทาวน์โฮม หรือคอนโดมิเนียมที่มีขนาดใหญ่ขึ้นและมีการจัดสรรพื้นที่อย่างชาญฉลาดจึงได้รับความสนใจ -
สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี (Wellness & Well-being): ผู้คนให้ความสำคัญกับสุขภาพกายและใจมากขึ้น โครงการที่มีพื้นที่สีเขียวส่วนกลางขนาดใหญ่ สิ่งอำนวยความสะดวกด้านกีฬาและสันทนาการครบครัน อาจสามารถตั้งราคาขายได้สูงกว่าโครงการทั่วไปในทำเลเดียวกันราว 5-10% รวมถึงการออกแบบที่คำนึงถึงการถ่ายเทอากาศและแสงธรรมชาติ จะเป็นที่ต้องการ -
เทคโนโลยีและบ้านอัจฉริยะ (Smart Home): การนำเทคโนโลยีมาใช้ในที่อยู่อาศัย เช่น ระบบควบคุมอัจฉริยะ ระบบความปลอดภัย และการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตความเร็วสูง กลายเป็นมาตรฐานที่ผู้ซื้อยุคใหม่คาดหวัง โดยโครงการเปิดใหม่กว่า 60-70% ในปัจจุบันมักจะติดตั้งระบบ Smart Home พื้นฐานมาให้เป็นมาตรฐานเมื่อต้องการ ซื้อ ขาย บ้านและคอนโด -
ความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อม (Sustainability): การออกแบบที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การใช้วัสดุรีไซเคิล ระบบประหยัดพลังงาน และการจัดการของเสียที่มีประสิทธิภาพ เริ่มเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจของผู้ซื้อจำนวนไม่น้อย ผลสำรวจผู้บริโภคบางกลุ่มพบว่า กว่า 50% ยินดีจ่ายเพิ่มขึ้นเล็กน้อย (ราว 3-5%) สำหรับที่อยู่อาศัยที่ประหยัดพลังงานและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม -
การอยู่อาศัยแบบหลายช่วงวัย (Multigenerational Living): แนวโน้มที่ครอบครัวขยายจะกลับมาอยู่อาศัยร่วมกันมากขึ้น ซึ่งอาจมีสัดส่วนถึง 15-20% ของครัวเรือนในบางพื้นที่ ทำให้บ้านที่มีฟังก์ชันรองรับสมาชิกทุกวัย ตั้งแต่เด็กเล็กจนถึงผู้สูงอายุ ได้รับความนิยม
เทคโนโลยีและนวัตกรรมในวงการอสังหาริมทรัพย์ (Technology and Innovation)
-
PropTech (Property Technology): แพลตฟอร์มและเครื่องมือดิจิทัลต่างๆ ช่วยให้การค้นหาข้อมูล เปรียบเทียบทรัพย์สิน ทำธุรกรรม และจัดการอสังหาริมทรัพย์เป็นเรื่องง่ายและสะดวกขึ้น โดยจำนวนผู้ใช้งานแพลตฟอร์มค้นหาอสังหาริมทรัพย์ออนไลน์อาจเติบโตขึ้นกว่า 20-30% ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา สำหรับผู้ที่สนใจ ซื้อ ขาย บ้านและคอนโด การเข้าถึงข้อมูลผ่าน PropTech จะช่วยให้ตัดสินใจได้ดีขึ้น -
Virtual Reality (VR) และ Augmented Reality (AR): เทคโนโลยีเสมือนจริงช่วยให้ผู้ซื้อสามารถเยี่ยมชมโครงการหรือห้องตัวอย่างได้จากทุกที่ทุกเวลา ซึ่งสามารถเพิ่มโอกาสในการปิดการขายได้ถึง 10-15% สร้างประสบการณ์ที่สมจริงและช่วยประหยัดเวลา -
Big Data และ AI: การวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่และปัญญาประดิษฐ์ถูกนำมาใช้ในการประเมินราคา ทำนายแนวโน้มตลาด และนำเสนอทรัพย์สินที่ตรงกับความต้องการของลูกค้าแต่ละรายได้อย่างแม่นยำ ซึ่งอาจช่วยลดระยะเวลาการขายได้ถึง 20% -
เทคโนโลยีการก่อสร้าง: นวัตกรรม เช่น การพิมพ์ 3 มิติ (3D Printing) หรือการใช้ชิ้นส่วนสำเร็จรูป (Prefabrication) ที่อาจลดระยะเวลาก่อสร้างได้ 20-30% และลดต้นทุนการก่อสร้าง รวมถึงลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
ปัจจัยด้านกฎหมายและผังเมือง (Legal and Urban Planning Factors)
-
การปรับปรุงผังเมือง: การประกาศใช้ผังเมืองใหม่หรือการปรับปรุงผังเมืองเดิม สามารถเปลี่ยนแปลงศักยภาพการใช้ประโยชน์ที่ดินในแต่ละโซน เช่น การเพิ่ม FAR หรือลดข้อจำกัดด้านความสูงของอาคาร ส่งผลต่อราคาที่ดินและความหนาแน่นของการพัฒนาโครงการ -
โครงการเมกะโปรเจกต์ภาครัฐ: การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เช่น รถไฟฟ้าความเร็วสูง มอเตอร์เวย์ หรือการขยายสนามบิน จะช่วยเปิดพื้นที่พัฒนาใหม่ๆ และเพิ่มมูลค่าให้กับอสังหาริมทรัพย์ในบริเวณใกล้เคียง โดยที่ดินในรัศมี 1-2 กิโลเมตรจากสถานีรถไฟฟ้าสายใหม่อาจมีราคาประเมินเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 10-20% ต่อปีในช่วงก่อนและหลังการก่อสร้างแล้วเสร็จ -
กฎหมายและข้อบัญญัติใหม่: การเปลี่ยนแปลงกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เช่น ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ที่อาจมีอัตราภาษีสำหรับที่ดินรกร้างว่างเปล่าสูงถึง 0.3% - 0.7% ของราคาประเมิน หรือกฎหมายควบคุมอาคาร อาจมีผลต่อต้นทุนการถือครองทรัพย์สินและรูปแบบการพัฒนาโครงการ
กลยุทธ์สำหรับผู้ที่กำลังตัดสินใจ: "ซื้อ ขาย บ้านและคอนโด" หรือควรรอ?
สำหรับผู้ซื้อ (For Buyers)
-
ประเมินความพร้อมทางการเงิน: พิจารณารายได้ ค่าใช้จ่าย เงินออม (ควรมีสำรองเผื่อฉุกเฉินอย่างน้อย 3-6 เดือนของค่าใช้จ่าย) และความสามารถในการผ่อนชำระอย่างละเอียด อย่าลืมคำนวณค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ค่าธรรมเนียมการโอน ค่าจดจำนอง ค่าตกแต่ง และค่าส่วนกลาง -
กำหนดวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน: ซื้อเพื่ออยู่อาศัยเอง หรือเพื่อการลงทุน? ระยะสั้นหรือระยะยาว? คำตอบเหล่านี้จะช่วยกำหนดประเภทและทำเลของทรัพย์สินที่เหมาะสม -
ศึกษาข้อมูลทำเลอย่างละเอียด: พิจารณาปัจจัยต่างๆ เช่น การเดินทาง (ระยะทางจากที่ทำงาน/โรงเรียนไม่ควรเกิน 30-60 นาที) สิ่งอำนวยความสะดวก สภาพแวดล้อม ความปลอดภัย และแนวโน้มการพัฒนาในอนาคต การเลือกทำเลที่ใช่สำหรับการ ซื้อ ขาย บ้านและคอนโด มีผลต่อมูลค่าในระยะยาว -
อย่ารีบร้อนตัดสินใจ: เปรียบเทียบโครงการหรือทรัพย์สินอย่างน้อย 3-5 แห่ง ใช้เวลาในการเยี่ยมชมสถานที่จริง พูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญ และเจรจาต่อรองเงื่อนไขที่ดีที่สุด -
พิจารณาสภาวะตลาด: ในช่วงที่ตลาดยังมีการแข่งขันสูง ผู้ซื้ออาจมีอำนาจต่อรองมากขึ้น แต่หากเป็นทำเลทองหรือทรัพย์สินที่เป็นที่ต้องการสูง อาจต้องตัดสินใจเร็วขึ้นภายใน 1-2 สัปดาห์ -
มองหาโอกาสจากทรัพย์สินรอการขาย (NPA): บางครั้งทรัพย์สินจากสถาบันการเงินอาจมีราคาต่ำกว่าตลาด 10-30% แต่ต้องตรวจสอบสภาพและภาระผูกพันต่างๆ ให้ดี
สำหรับผู้ขาย (For Sellers)
-
ตั้งราคาขายที่สมเหตุสมผล: ศึกษาเปรียบเทียบราคาขายของทรัพย์สินที่คล้ายคลึงกันในทำเลเดียวกัน (Comparable Market Analysis - CMA) อย่างน้อย 3-5 รายการ การตั้งราคาสูงเกินไปกว่า 5-10% ของราคาตลาดอาจทำให้ขายยากและเสียโอกาส -
เตรียมทรัพย์สินให้พร้อมขาย: ทำความสะอาด ซ่อมแซมส่วนที่ชำรุด และตกแต่งให้น่าอยู่ (Staging) ซึ่งอาจเพิ่มมูลค่าทรัพย์สินได้ 1-5% และช่วยให้ขายได้เร็วขึ้น เพื่อสร้างความประทับใจแรกที่ดีให้กับผู้สนใจซื้อ -
เลือกช่องทางการตลาดที่เหมาะสม: ใช้ทั้งช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ เช่น เว็บไซต์ประกาศขายอสังหาริมทรัพย์ที่มียอดผู้เข้าชมสูง โซเชียลมีเดีย หรือนายหน้ามืออาชีพที่มีความเชี่ยวชาญและเครือข่ายที่กว้างขวาง -
ให้ข้อมูลที่ครบถ้วนและถูกต้อง: เตรียมเอกสารสำคัญต่างๆ เช่น โฉนด ใบอนุญาตก่อสร้าง ให้พร้อม และให้ข้อมูลเกี่ยวกับทรัพย์สินอย่างโปร่งใส -
มีความยืดหยุ่นในการเจรจา: เปิดใจรับฟังข้อเสนอและพร้อมเจรจาต่อรองในเงื่อนไขที่เหมาะสมทั้งสองฝ่าย การลดหย่อนราคาเล็กน้อย (เช่น 1-3%) อาจช่วยให้ปิดการขายได้เร็วขึ้น -
พิจารณาใช้บริการมืออาชีพ: นายหน้าอสังหาริมทรัพย์ที่มีประสบการณ์สามารถช่วยให้คำปรึกษา ประเมินราคา ทำการตลาด และอำนวยความสะดวกในกระบวนการขายทั้งหมด ทำให้การ ซื้อ ขาย บ้านและคอนโด ของคุณง่ายขึ้น แพลตฟอร์มอย่าง www.connex.in.th ก็เป็นอีกหนึ่งช่องทางที่เชื่อมโยงผู้ซื้อ ผู้ขาย และผู้เชี่ยวชาญในวงการเข้าด้วยกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งอาจช่วยลดระยะเวลาการขายลงได้ 15-20%
สำหรับนักลงทุนอสังหาริมทรัพย์ (For Investors)
-
กำหนดกลยุทธ์การลงทุนที่ชัดเจน: ลงทุนระยะสั้นเพื่อเก็งกำไร (อาจถือครอง 6-24 เดือน) หรือระยะยาวเพื่อรับผลตอบแทนค่าเช่า (อาจถือครอง 5 ปีขึ้นไป)? เน้นบ้านเดี่ยว คอนโดมิเนียม หรืออสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์? -
วิเคราะห์ผลตอบแทนจากการปล่อยเช่า (Rental Yield): คำนวณอัตราผลตอบแทนจากการปล่อยเช่า โดยทั่วไปผลตอบแทนจากการปล่อยเช่าคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ อาจอยู่ที่ประมาณ 3-5% ต่อปี ขณะที่บ้านแนวราบอาจให้ผลตอบแทนต่ำกว่าเล็กน้อย แต่มีโอกาสได้ Capital Gain ที่สูงกว่าในระยะยาว เปรียบเทียบกับทรัพย์สินอื่นในทำเลเดียวกัน และประเมินความต้องการเช่าในพื้นที่นั้นๆ (Vacancy rate ไม่ควรเกิน 5-10%) -
มองหาทำเลที่มีศักยภาพเติบโตสูง: ทำเลที่ใกล้แนวรถไฟฟ้า แหล่งงาน สถาบันการศึกษา หรือแหล่งท่องเที่ยว มักมีแนวโน้มมูลค่าเพิ่มขึ้นในอนาคต ซึ่งอาจเห็น Capital Appreciation เฉลี่ย 5-10% ต่อปี -
พิจารณาการลงทุนใน Niche Market: เช่น อสังหาริมทรัพย์สำหรับผู้สูงอายุที่คาดว่าจะมีสัดส่วนประชากรเพิ่มขึ้นเป็น 20% ในอนาคตอันใกล้, Co-living space หรืออสังหาริมทรัพย์เพื่อสุขภาพ อาจสร้างผลตอบแทนที่น่าสนใจและสูงกว่าตลาดทั่วไป 1-2% -
กระจายความเสี่ยง (Diversification): ไม่ควรลงทุนกระจุกตัวอยู่ในทรัพย์สินประเภทเดียวหรือทำเลเดียว การกระจายพอร์ตการลงทุนอย่างน้อย 3-5 ประเภทหรือทำเล จะช่วยลดความเสี่ยง -
ติดตามข่าวสารและแนวโน้มตลาดอย่างใกล้ชิด: ตลาดอสังหาริมทรัพย์มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ การอัปเดตข้อมูลจะช่วยให้คุณปรับกลยุทธ์การลงทุนได้ทันท่วงที และไม่พลาดโอกาสในการ ซื้อ ขาย บ้านและคอนโด ที่ให้ผลตอบแทนดี
โอกาสทองในการ "ซื้อ ขาย บ้านและคอนโด" ที่คุณไม่ควรมองข้าม
-
ทรัพย์สินในทำเลรองที่มีศักยภาพ (Emerging Locations): พื้นที่รอบนอกเมืองที่กำลังมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานใหม่ๆ หรือเมืองท่องเที่ยวรอง อาจมีราคาที่ยังไม่สูงมากนัก แต่มีแนวโน้มเติบโตในอนาคต ซึ่งอาจให้ Capital Gain สูงกว่าทำเลใจกลางเมือง 2-3 เท่าในบางกรณี -
อสังหาริมทรัพย์ที่ต้องการการปรับปรุง (Value-Add Properties): การซื้อทรัพย์สินที่ค่อนข้างเก่าหรือมีสภาพทรุดโทรมในทำเลที่ดี แล้วนำมาปรับปรุงหรือรีโนเวทใหม่ด้วยงบประมาณ 10-20% ของราคาซื้อ สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มและผลกำไรที่น่าพอใจเมื่อทำการ ซื้อ ขาย บ้านและคอนโด นั้นๆ ต่อไป โดยนักลงทุนที่ชำนาญอาจสามารถสร้างผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ได้สูงถึง 15-25% หรือมากกว่านั้น ภายในระยะเวลา 6-12 เดือน -
การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลที่เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์: เช่น การลงทุนในโทเคนดิจิทัลที่อ้างอิงกับอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate Tokenization) ซึ่งอาจเปิดโอกาสให้นักลงทุนรายย่อยเข้าถึงการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์มูลค่าสูงได้ด้วยเงินลงทุนเริ่มต้นที่น้อยลง เป็นอีกหนึ่งมิติใหม่ของการลงทุนที่น่าจับตามอง -
โครงการที่ตอบโจทย์ ESG (Environmental, Social, Governance): โครงการที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล กำลังเป็นที่ต้องการของนักลงทุนและผู้ซื้อยุคใหม่ โดยอาจมีอุปสงค์เพิ่มขึ้น 10-15% ต่อปี และมีแนวโน้มที่จะรักษามูลค่าได้ดีในระยะยาว
บทสรุปและทิศทางในอนาคต
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม